Saturday, February 2, 2008

มหากาพย์...นกแร้งดำหิมาลัย ตอนที่ 2

กาพย์ที่สอง บุกมองโกเลีย

ผู้สนับสนุน “ โครงการฟื้นฟูแร้งดำหิมาลัยเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ “ ก็มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโอชองฟาร์ม ที่สนับสนุนกรงฝึกบินขนาดใหญ่ ขนาดกว้าง ๕ เมตร สูง ๖ เมตรและยาว ๒๔ เมตร ก่อสร้างที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม และบริษัท การบินไทย จำกัด ( มหาชน ) ก็ให้การสนับสนุนบัตรโดยสาร ๕ ที่นั่ง เส้นทางกรงเทพ – กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน สำหรับคณะผู้เดินทางไปส่งนกแร้งดำหิมาลัย ณ ประเทศมองโกเลีย และระหว่างที่รอกำหนดวันเดินทางและออกบัตรโดยสารอย่างเป็นทางการ อาจารย์ไชยยันต์ก็เตรียมเอกสารราชการต่าง ๆ ที่เกื่ยวข้องกับการนำนกมีชีวิตออกนอกประเทศ แถมเป็นนกที่อยู่ในบัญชีแนบท้ายที่สอง ของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชหายากระหว่างประเทศ หรือที่เราคุ้นเคยกับคำว่า “ CITES Appendix 2 “

ขั้นตอนต่าง ๆ ก็เป็นไปตามนี้ เริ่มจากแจ้งไปที่ประเทศมองโกเลียหรือประเทศปลายทางว่าเรามีนกมีชีวิตจะส่งออก และเขาต้องการให้ตรวจโรคใดบ้าง เราก็ตรวจทุกโรคตามที่กำหนดไว้ โดยส่งตัวอย่างเลือด , อุจจาระและเมือกในปากของนก ไปที่สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ กรมปศุสัตว์และรอประมาณ ๘ วัน ( แจ้งว่าจะรับใบรายงานผลการตรวจเป็นภาษาอังกฤษ รวมถึงเขียนชื่อภาษาอังกฤษ , ชื่อวิทยาศาสตร์และเบอร์ห่วงขาของนก กำกับไว้ด้วย ) แล้วส่งกลับไปที่ประเทศปลายทางและประเทศที่เป็นทางผ่านแวะพักเครื่องบิน (Transit ) อีกครั้ง บอกเขาว่าปลอดโรค จากนั้นรอเอกสารตอบรับอย่างเป็นทางการ จากกรมปศุสัตว์และกรมป่าไม้ของทุกประเทศปลายทาง ว่าอนุญาตให้นำนกเข้าหรือผ่านประเทศได้

เราจึงจะไปแจ้งที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ( ซึ่งในส่วนนี้ได้รับความช่วยเหลือและความกรุณาอย่างดีมาก ๆ จากท่านอธิบดี นายเฉลิมศักดิ์ วานิชสมบัติ และคุณตวงรัตน์ โพธิ์เที่ยง นักวิทยาศาสตร์ ๘ ว. ส่วนวิจัยสัตว์ป่า ) เพื่อจัดทำใบขออนุญาตนำสัตว์ในพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ปี พ.ศ.๒๕๓๕ ออกนอกราชอาณาจักร และขอใบนำส่งออก จากสำนักงาน CITES ประจำประเทศไทย เพื่อแจ้งไปทางประเทศปลายทางว่า เรามีสัตว์ในบัญชี CITES จะนำเข้าหรือผ่านประเทศ แล้วรอจดหมายตอบกลับอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

สุดท้ายนำเอกสารทั้งหมดที่ได้มา ( มั่นใจว่าจะเป็นปึกใหญ่ทีเดียว ) ส่งอีกครั้งที่กรมปศุสัตว์ ถนนพญาไท ณ ประเทศไทย เพื่อทำเอกสารส่งนกมีชีวิตออกนอกประเทศไทย ท่านเชื่อหรือไม่...จากขั้นตอนเพียงสามย่อหน้าแค่นี้ ทางคณะทำงาน ฯ ต้องรอ , ขอร้อง , ไหว้วอน , ต่อรองและบนบาน รวมแล้วใช้เวลาไปประมาณหนึ่งเดือน ยุ่งยากสมเป็นนกหายากจริง ๆ ส่วนการออกนอกประเทศของตัวบุคคลง่ายมาก เพียงไปยื่นขอทำวีซ่าที่สถานทูตมองโกเลียประจำประเทศไทยเท่านั้น แต่ถ้าเป็นหนังสือเดินทางราชการ ก็ทำเรื่องแจ้งต้นสังกัดว่าจะเดินทางและจะไปได้โดยสะดวก ทั้งประเทศจีนและมองโกเลีย

ระหว่างนั้น...เจ้าอนาคินก็ถูกเลี้ยงดูเป็นอย่างดีอยู่ในกรงฝึกบินขนาดใหญ่ ที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของ รศ.นสพ.ดร.วรวิทย์ วัชชวัลคุ รองคณบดีและอาจารย์ประจำภาควิชาพยาธิวิทยา และน.สพ.ดร.พรชัย สัญฐิติเสรี อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์คลินิกสัตว์ใหญ่และสัตว์ป่า คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประจำวิทยาเขตกำแพงแสน ซึ่งได้ให้เนื้อหมูสามชั้นหรือขาหมูเป็นอาหารแก่เจ้าอนาคิน ครั้งละครึ่งกิโลกรัม สัปดาห์ละสองถึงสามครั้ง ตามความต้องการสารอาหารตามธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อให้นกแร้งได้ฝึกการฉีกกัดอาหารด้วยตนเองและบินอย่างอิสระในกรงใหญ่ กล้ามเนื้อที่ใช้ในการบินจะได้มีความแข็งแรงและพร้อมใช้งานให้มากที่สุด

ด้วยเหตุเพราะไม่มีเที่ยวบินตรง ระหว่างประเทศไทยและประเทศมองโกเลีย อาจารย์ไชยยันต์จึงต้องเลือกเปลี่ยนเครื่องบิน (Transit ) ที่ประเทศจีนหรือเกาหลีใต้ ผมทราบมาว่า...ทางการจีนมีนโยบายแข็งกร้าวไม่อนุญาตให้นำนกมีชีวิตผ่านประเทศ ในทุกเหตุผลและไม่รับการเจรจาต่อรองใด ๆ ทั้งสิ้น ด้วยกลัวจะเป็นการนำโรคไข้หวัดนกเข้าสู่ประเทศเพิ่มขึ้น ( แม้ว่านกแร้งดำหิมาลัยจะตรวจแล้วว่าปลอดโรคไข้หวัดนกถึง ๓ ครั้ง ) ส่วนประเทศเกาหลีใต้ ทางคณะทำงาน ฯ ก็ได้ประสานไปทางสถานทูตเกาหลีใต้ในประเทศไทย ได้รับคำตอบที่ฟังแล้วชื่นใจว่า “ได้...ไม่น่ามีปัญหาใด ๆ “ สรุปว่าคณะผู้เดินทางไปส่งนกแร้งดำหิมาลัย จะเดินทางด้วยเส้นทางที่บริษัท การบินไทย จำกัด ( มหาชน ) ให้การสนับสนุน และซื้อตั๋วโดยสารเพิ่มเติมจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีนไปอูลันบาตอร์ เมืองหลวงของประเทศมองโกเลีย ด้วยเงินกองทุนพื้นฟูนกเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ส่วนตัวนกแร้งและอาจารย์ไชยยันต์จะเดินทางจากกรุงเทพไปประเทศเกาหลีใต้ ( อ้อมเล็กน้อย ) จากนั้นจึงต่อเครื่องบินของสายการบินประจำชาติมองโกเลีย เข้าไปที่จุดหมายเดียวกัน แต่จะถึงช้ากว่าคณะแรกหนึ่งวัน
๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๐ คณะผู้เดินทางไปส่งนกแร้งดำหิมาลัยนำโดย คุณกวิน ชุติมา นายกสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย , คุณตวงรัตน์ โพธิ์เที่ยง นักวิทยาศาสตร์ ๘ ว. ส่วนวิจัยสัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม , คุณเรวดี เลิศอริยกฤต สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และตัวผมเอง ได้เหินฟ้าไปกรุงปักกิ่งประเทศจีน เพื่อไปรอต่อเครื่องบินของสายการบินแห่งชาติมองโกเลีย เข้าสู่เมืองอูลันบาตอร์ ซึ่งตอนซื้อตั๋วเครื่องบินก็มีเรื่องน่าขัน เนื่องจากสายการบินแห่งชาติมองโกเลีย ไม่มีสาขาที่ขายตั๋วในประเทศไทย เราจึงต้องประสานไปยังสถานทูตไทยในกรุงปักกิ่ง เพื่อให้ออกเงินซื้อไปก่อนและเมื่อเราไปถึงปักกิ่งจึงนำเงินไปให้และส่งมอบตั๋วกัน ซึ่งถ้าหากันไม่เจอที่สนามบินนานาชาติปักกิ่งอันกว้างขวาง คงฮาไม่น้อย เพราะบินไปมองโกเลียก็ไม่ได้เพราะไม่มีบัตรโดยสาร เข้าประเทศจีนก็ไม่ได้เพราะไม่มีวีซ่า แต่เราก็โชคดีที่หากันเจอโดยง่าย พระคุ้มครองจริง ๆ

ระหว่างรอขึ้นเครื่องไปเมืองอูลันบาตอร์ โทรศัพท์มือถือของคุณเรวดี ก็ดังขึ้นอย่างมีพิรุธ เป็นข่าวที่ผมไม่อยากรับรู้ ว่าทางประเทศเกาหลีใต้ไม่อนุญาตให้นำนกแร้งดำหิมาลัยผ่านประเทศเพื่อต่อเครื่องไปประเทศมองโกเลีย ( ก่อนเวลาเดินทางของอาจารย์ไชยยันต์และเจ้าอนาคินเพียง ๖ ชั่วโมง ) ด้วยเพราะกลัวสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดนกในประเทศไทย ถ้าอาจารย์ไชยยันต์ฝืนนำนกแร้งมา จะฆ่านกทิ้งที่สนามบินนานาชาติเกาหลีใต้ เมื่อได้ฟังดังนี้...คณะเดินทาง ฯ และผม ถึงกับอึ้ง...และหันหน้าปรึกษาถึงทางเลือกอื่น ๆ เจ้าหน้าที่สายการบินก็ประกาศเชิญผู้โดยสารขึ้นเครื่องบินได้แล้ว สุดท้าย...ในเมื่อหลังพิงฝา พวกเราจึงเดิน ( คอตกและหัวใจห่อเหื่ยว ) ขึ้นเครื่องบินต่อไปยังเมืองอูลันบาตอร์อันหนาวเหน็บจับใจ

ตลอดสองชั่วโมงครึ่งบนเครื่องบินไปประเทศมองโกเลีย ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาจากคณะเดินทาง ทุกคนยังคงนั่งนิ่งและครุ่นคิดเรื่องราวต่าง ๆ ว่ามีความคลาดเคลื่อนหรือเข้าใจผิดพลาดตรงส่วนใด อีกทั้งกังวลว่าสภาพจิตใจของอาจารย์ไชยยันต์จะเป็นอย่างไรบ้าง คาดว่าคงผิดหวังและว้าวุ่นไม่น้อยกว่าพวกเรา ส่วนตัวผมนั้นคล้ายกับหกล้มหัวฟาดพื้น งง...งง...และสับสน มันพูดไม่ออก เพราะเราพยายามกันอย่างหนัก เพื่อจะให้นกแร้งดำหิมาลัยได้กลับคืนสู่ธรรมชาติในถิ่นต้นกำเนิด แต่ก็มีอุปสรรคซึ่งเกิดจากจิตใจของมนุษย์ที่เราไม่คาดคิดเกิดขึ้น อย่างที่ว่าไว้ในหนังสือพยากรณ์ดวงชะตาว่า “ เราไม่สามารถหลีกหนีจากสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะทุกสิ่งได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ”

ท้องฟ้ามืดสนิทในเวลาเกือบเที่ยงคืนกับอุณหภูมิติดลบ ๑๑ องศาเซลเซียส เป็นคำทักทายแรกในฤดูใบไม้ผลิ ของอูลันบาตอร์ เมืองหลวงประเทศมองโกเลีย ซึ่งปกติอุณหภูมิติดลบ ๔๐ องศาเซลเซียสในฤดูหนาว คณะของพวกเรา ได้รับการต้อนรับที่ดีมากจาก คุณนิมบาย่า บัตบาย่า ( Mr. Nyambayar Batbayar ) นักปักษีวิทยาชาวมองโกเลีย จากสถาบัน Wildlife Science and Conservation Center of Mongolia และคุณเรวดี แจ้งว่า “ เราเสียใจที่ไม่สามารถนำเจ้าอนาคินมาที่มองโกเลียได้ ณ ตอนนี้ “ คุณนิมบาย่าถึงกับอึ้งเช่นกัน และปลอบให้ใจเย็น เราจะค่อย ๆ ช่วยกันแก้ไข และส่วนตัวเขาเอง ก็ต้องนำข้อมูลทั้งหมดไปแจ้งให้ทางเจ้าหน้าที่รัฐบาลและสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ให้ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ เพราะ “ โครงการฟื้นฟูแร้งดำหิมาลัยเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ “ จากประเทศไทย ก็มีความโด่งดังจนผู้คนในมองโกเลียให้ความสนใจและติดตามไม่น้อย ถึงกับออกโทรทัศน์ไปแล้วสองครั้ง ขนาดเจ้าหน้าที่สนามบินยังถามว่า “ นกแร้งจะมาเมื่อใด ” ส่วนตัวผมเองได้แต่ฟังและก้มหน้าเดินต่อไป มันตอบไม่ออก.....

เราพักกันที่โรงแรมชานเมืองอูลันบาตอร์ หิมะสีขาวโพลนเต็มไปทุกหนแห่ง มีพายุหิมะมาเป็นระยะ ๆ ผมเกาะกระจกหน้าต่างห้องพัก ถอนหายใจเฮือกใหญ่จนเกิดฝ้าไอน้ำเกาะเป็นแผ่นกลม ในใจคิดว่า “ เราต้องวนกลับไปเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดหรือ...ทำไมหนอ...การทำความดีสักครั้งจึงได้มีอุปสรรคมากแบบนี้ ” น้ำเสียงนุ่มและสุขุมของคุณกวิน ชุติมา ดังข้ามไหล่มาว่า “ ความสำเร็จไม่เคยได้มาโดยง่าย พรุ่งนี้เราจะคิดแก้ไขกันต่อไป พักผ่อนเถอะ นี่ก็เกือบจะตีสองแล้ว ” ถึงแม้เปลือกตาของผมจะปิดไป แต่จิตยังตื่นและคิดค้นหาทุกหนทาง เหมือนหนูตาบอด ที่วิ่งวนหาทางออกอยู่ในกล่องที่ปิดสนิท จวบจนความเหนื่อยล้าดึงผมไปสู่ความภวังค์...

เช้าวันต่อมาโทรศัพท์เคลื่อนที่ของคุณเรวดี ทำงานไม่ได้หยุดเหมือนอยู่ในประเทศไทย คาดว่าค่าโทรศัพท์คงมากพอ ๆ กับราคาตั๋วเครื่องบินไป - กลับมองโกลียได้อีกรอบสบาย ๆ ( นับถือน้ำใจจริง ๆ ) เพราะต้องติดต่อประสานงานกับสถานฑูตและส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อนำอาจารย์ไชยยันต์รวมทั้งนกแร้งมาให้ได้ ซึ่งทางปลายสายตอบกลับมาว่าต้องรอสัก ๒ – ๓ วัน เพื่อให้ผู้ใหญ่ของทางเกาหลีใต้พิจารณาอนุมัติ ระหว่างนั้นคณะของเราก็ออกไปดูรอบ ๆ เมืองหลวงของประเทศมองโกเลีย ซึ่งทั้งประเทศมีประชากรประมาณ ๓ ล้านคน โดยกว่า ๒ ล้านคนอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ที่เหลืออยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของประเทศไทย เคยถูกปกครองจากสหภาพโซเวียต จนใช้ตัวอักษรของรัสเซีย , ภาษาสื่อสารก็คล้ายกัน , สภาพแนวคิด , การแต่งตัวของผู้คน , บ้านเรือนและร้านรวงในตัวเมืองคล้ายประเทศรัสเซียและทางทวีปยุโรปฝั่งตะวันออกอย่างมาก นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานคล้ายประเทศจีน ที่สำคัญ กีฬาซูโม่ ครองใจประชาชนเป็นอันดับหนึ่ง และแชมป์ซูโม่ในประเทศญี่ปุ่น ก็เป็นคนมองโกเลียอีกด้วย ชาวพื้นเมืองส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าเร่ร่อน ซึ่งมีอาชีพเลี้ยงปศุสัตว์เป็นหลัก ทั้งประเทศมีแกะและแพะรวมกันกว่า ๓๖ ล้านตัว ซึ่งอพยพตามแหล่งทุ่งหญ้าและสภาพอากาศปีละ ๓ ครั้ง คือ ฤดูหนาว , ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ฤดูหนาวจัดยาวนานถึงปีละ ๘ เดือน ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน เป็นฤดูร้อนและฤดูท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน

วันต่อมา หิมะตกหนัก อุณหภูมิก็ดิ่งติดลบลงไปเรื่อย ๆ ตามพยากรณ์อากาศในหนังสือพิมพ์ บอกว่าอากาศร้อนสุดของวัน คือ ติดลบ ๕ องศาสเซลเซียส ( แค่อ่านก็ขนลุกซู่ ) แถมยังไม่มีข่าวดีใด ๆ จากเมืองไทย เราจึงตัดสินใจไปดูจุดที่จะพาเจ้าอนาคินไปปล่อย ซึ่งอยู่ไกลจากเมืองอูลันบาตอร์ไปทางทิศตะวันตก ประมาณ ๒๒๐ กิโลเมตร เราใช้บริการของรถตู้ขับเคลื่อนสี่ล้ออันสุดแสนทรหด ซึ่งผลิตตั้งแต่สมัยสหภาพโซเวียตยังรุ่งเรือง ออกเดินทางตามเส้นทางหลวงแผ่นดินมองโกเลีย ซึ่งเป็นถนนราดยางที่สภาพไม่ค่อยได้รับการดูแลมากนัก จนในบางครั้งต้องลงไปวิ่งรถอยู่ข้าง ๆ ถนนและมีความตรงที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา เพราะเราสามารถมองไปจนสุดสายตาได้โดยไม่เห็นถนนโค้งเลย ( เหมือนวิ่งตรงไปสุดขอบโลก ) สองข้างทางก็เป็นทุ่งหญ้าสเต๊ปป์ ซึ่งไม่มีต้นไม้ใหญ่ มีแต่ต้นหญ้าสีน้ำตาลสั้น ๆ ปนน้ำแข็ง สูงแค่ตาตุ่มเป็นลานกว้างสุดสายตา แม่น้ำหนองบึงก็ยังเป็นน้ำแข็ง ผมหลับไปสามตื่น ลืมตามานึกว่าอยู่ที่เดิม เพราะทิวทัศน์ข้างทางมีแต่ท้องฟ้าสีเข้ม , ผืนดินสีน้ำตาลและถนนตรง ๆ ที่มิได้เปลี่ยนไปเลยตลอดทาง ยังดีที่มีฝูงอูฐสองโหนกดินเล็มหญ้าอยู่ข้างทาง ให้พวกเราลงไปดูคั่นเวลาบ้าง....

กว่าแปดชั่วโมงกับการนั่งอยู่บนรถตู้ เราก็มาถึงเอเดนเซนต์ ( Erdenesant ) เป็นหุบเขาที่ห่างไกลผู้คนอย่างมาก ไม่ใช่พื้นที่ป่าสงวนแต่อย่างใด แต่มีนกล่าเหยื่ออย่างน้อย ๗ ชนิดทำรังวางไข่ในบริเวณนี้ ซึ่งคุณนิมบาย่า ใช้เป็นพื้นที่วิจัยและเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องหลายปี เนื่องจากชื่อจริงของพื้นที่เรียกยากมากออกเสียงไม่ถูก เราตั้งชื่อเล่นว่า “ หุบเขานกล่าเหยื่อ หรือ Raptor Valley ” และมีเพียงชนเผ่าเร่ร่อน ๔ ครอบครัวเท่านั้น ที่ใช้ช่วงเวลาในฤดูใบไม้ผลิ อาศัยอยู่ในพื้นที่กว้างสุดลูกหูลูกตาเช่นนี้ ซึ่งคุณนิมบาย่า ก็ได้ใช้วิชามวลชนสัมพันธ์ ดึงตัวมาเป็นผู้ร่วมสังเกตุการณ์ , ช่วยเก็บข้อมูลเกี่ยวกับนกแร้งและนกล่าเหยื่อชนิดต่าง ๆ เช่น เหยี่ยว , อินทรีย์ หรือนกฮูกในพื้นที่ด้วย และเราก็ได้เข้าไปทำความรู้จักครอบครัวเล็ก ๆ ของพวกเขาด้วย ซึ่งเป็นมิตรมากและมีน้ำใจล้นเหลือ ทุกคนสวมเลื้อผ้าชุดประจำชาติมองโกเลียและอาศัยอยู่ในกระโจมกลางแจ้งที่ไม่มีหน้าต่าง เห็นมีแต่ปล่องไฟด้านบน กินอาหารเป็นเนื้อสัตว์ร้อยละ๙๕ อีกร้อยละ ๕ เป็นเส้นหมี่และผักผลไม้รวมกัน ใช้มูลแพะแกะตากแห้งเป็นเชื้อเพลิงในการทำครัว ซึ่งเป็นแหล่งสร้างความอบอุ่นเดียวของกระโจม มีชานมมองโกเลีย (Mongolian Tea ) ซึ่งความจริงเป็นนมแพะต้มใส่เกลือและเติมใบชาไปเล็กน้อย รสชาดเค็ม ๆ มัน ๆ ใช้ดื่มอุ่น ๆ แทนน้ำ และเบียร์ทำจากนมม้าเป็นเครื่องดื่มสำคัญ อาชีพหลักเป็นการเลี้ยงปศุสัตว์ เช่น วัว , ม้า , แพะและแกะ เพื่อนำขนและหนังไปขาย โดยได้กินเนื้อและนมตลอดปี อีกทั้งขนชั้นในของแพะซึ่งสร้างขึ้นช่วงฤดูหนาว ซึ่งเราเรียกว่า “ แคชเมียร์ “ เป็นเส้นใยขนสัตว์ที่เก็บความอบอุ่นได้เป็นอย่างดี จึงนิยมนำไปทอเป็นเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาว มีราคาแพงและเป็นที่ต้องการของตลาดโลกอย่างมาก ถือเป็นรายได้หลักของชาวบ้านแถบนี้ บางครอบครัวมีแพะกว่าสองพันตัว ต้องดูแลกัน ๒๔ ชั่วโมงตลอดปี และรัฐบาลจะให้โล่ห์ยกย่องความเป็นเกษตรกรที่ขยันแข็งขันอีกด้วย

ลักษณะการเลี้ยงสัตว์ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ตลอดเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ซึ่งยังคงอากาศหนาวเย็น , มีพายุหิมะ , ลมแรงและมีแสงแดดอ่อน ๆ บ้าง จะมีการปล่อยแพะแกะซึ่งอยู่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ ทั้งแม่ทั้งลูกหลายร้อยถึงหลายพันตัว ออกไปเล็มกินทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลตามธรรมชาติ ตกเย็นก็ใช้ม้าหรือมอเตอร์ไซด์ต้อนกลับเข้าคอกเพื่อหลบลมหนาว สัตว์ที่อ่อนแอหรือป่วยก็จะถูกทิ้งไว้เช่นนั้น ท่ามกลางทุ่งอันหนาวเหน็บและยาวนานยามค่ำคืน เช้าต่อมาเมื่อเสียชีวิต ก็จะกลายเป็นอาหารแช่แข็งคุณภาพดีของนกแร้งและนกล่าเหยื่อในบริเวณนั้น ในช่วงเดียวกันนั้นนกแร้งก็เริ่มทำรังวางไข่เช่นกัน โดยเราจะเห็นว่าความสำเร็จในการผสมพันธุ์ทำรังวางไข่ ของครอบครัวนกแร้งดำหิมาลัยและนกล่าเหยื่อในบริเวณนั้นก็ได้รับอิทธิพลมาจากการทำปศุสัตว์ของชนเผ่าพื้นเมืองนั่นเอง

พ่อ – แม่นกแร้งดำหิมาลัยจะวางไข่บนรังเดิมแค่ปีละครั้ง เพียง ๑ ฟองเท่านั้น และฟักออกจากไข่ในช่วงต้นฤดูร้อน ตอนปลายเดือนเมษายนถึงกลางเดือนพฤษภาคม และพ่อ - แม่นกก็ต้องใช้ความเพียรพยายามนำอาหารมาเลี้ยงลูก ( ยักษ์ ) อย่าหนักตลอดช่วงกว่า ๔ เดือน แต่ลูกนกก็โตเร็วมาก ต้องการอาหารมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับจำนวนปศุสัตว์ในพื้นที่โดยรอบ โดยจากงานวิจัยของคุณนิมบาย่า พบว่าครอบครัวนกแร้งดำหิมาลัยซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ทำปศุสัตว์จะมีอัตราการรอดของลูกนกจนบินออกจากรัง มากกว่านกที่ทำรังวางไข่ในพื้นที่อนุรักษ์ที่ไม่มีการทำปศุสัตว์อย่างมีนัยสำคัญ โดยลูกนกจะบินออกจากรังประมาณกลางเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน ซึ่งถือว่าสิ้นสุดฤดูร้อนและหมดฤดูเลี้ยงลูกที่ทุ่มเทมาตลอด ๖ เดือน

และพอลมหนาวอันโหดร้ายจากขั้วโลกเหนือเข้ามาปกคลุม พ่อ-แม่นกก็จะพาลูกนกอพยพไปหากินในพื้นที่อื่น ซึ่งอาจจะเป็นเกาหลีใต้ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก จากลูกนกขวบปีแรก โดยบางปีพบได้หลายร้อยตัวและพบนกที่บินไปจากมองโกเลียด้วย ลูกนกแร้งส่วนน้อยมาก ๆ จะอพยพลงใต้ซึ่งอาจมาถึงประเทศไทยดั่งเจ้าอนาคิน ส่วนพ่อ-แม่นกก็จะไม่อพยพไปไกลจากพื้นที่ทำรังวางไข่มากนัก ด้วยเพราะมีความอดทนต่อฤดูหนาวได้ดีกว่า , มีประสบการณ์ในการหาอาหารดีกว่า , หวงพื้นที่ทำรังวางไข่และสุดท้ายฉลาดกว่า ทำไมต้องบินไกลไปให้เมื่อย เพราะอีก ๖ เดือนก็ต้องกลับมาทำรังวางไข่แล้ว ส่วนนกวัยเด็กยังขาดประสบการณ์เพราะต้องใช้เวลากว่าห้าปีเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ระหว่างนี้ก็ออกบินท่องเ ที่ยวไปเรื่อย ๆ ตามแต่บุญกรรมที่กำหนดมา....

1 comment:

Anonymous said...

คุณหมอเป็นคนดีและทำได้ดีที่สุดอยู่แล้ว