Saturday, February 2, 2008

มหากาพย์...นกแร้งดำหิมาลัย ตอนที่ 3

กาพย์สุดท้าย โชคดีนะ...อนาคิน

“ อย่าเอาชนะ...ในสิ่งที่เอาชนะไม่ได้ และสิ่งที่ควบคุมได้...คือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ” เป็นหลักปรัชญาที่ผมเข้าใจอย่างถ่องแท้หลังกลับมาจากประเทศมองโกเลีย เพราะจากนั้นตลอดหนึ่งเดือนต็มที่คณะทำงาน“ โครงการฟื้นฟูแร้งดำหิมาลัยเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ “ นำโดยอาจารย์ไชยยันต์ เกษรดอกบัว ได้พยายามอย่างมากที่จะเจรจาต่อรองอย่างเป็นทางการ ไถ่ถามเรื่องการนำนกแร้งดำหิมาลัย ต่อเครื่องบินผ่านที่ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อไปยังประเทศมองโกเลีย แต่สุดท้ายคำตอบมีแต่ความเงียบและต้องรอต่อไป อีกทั้งเราได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ เป็นนกแร้งสีน้ำตาลหิมาลัย ( อัศวินเจได ) ทั้ง ๔ ตัว จากคุณโกวิท สันตจิตร หัวหน้าสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าพัทลุง จังหวัดพัทลุง และคุณเกรียงศักดิ์ ศรีบัวรอด หัวหน้าสถานีวิจัยสัตว์ป่าคลองแสง จังหวัดสุราษฎ์ธานี สังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช มอบหมายให้ดูแลและพื้นฟูสุขภาพเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติต่อไป หลังจากจับตรวจสุขภาพแล้ว ผมได้ปล่อยให้อยู่รวมกับเจ้าอนาคิน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางสัมคมนกแร้ง เช่น ทะเลาะกันเพื่อแย่งอาหารหรือสู้กันเพื่อชิงตำแหน่งจ่าฝูง ฝึกฝนและทบทวนสัญชาติญาณนกป่าให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง

ปลายเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ หลังจากทุกคนในคณะทำงาน ฯ ได้ปรึกษากันว่า ถึงเวลาที่เราควรจะปล่อยนกแร้งทั้งหมดในประเทศไทย ด้วยเพราะไม่มีทางเลือกและเป็นช่วงปลายฤดูนกอพยพกลับแล้ว แถมปีนี้ฤดูฝนก็เข้ามาเร็วกกว่าปกติ ฉะนั้นโอกาสที่นกแร้งทั้งหมดจะบินอพยพกลับบ้านด้วยตนเอง ก็ลดลงเรื่อย ๆ และเราก็เห็นพ้องต้องกันว่า “ จะไม่ยอมให้นกทั้งหมดต้องอยู่ในกรงเลี้ยงไปตลอดชีวิต “ เพราะพวกเขาเป็นนกอพยพผ่านในฤดูหนาว และไม่ใช่นกประจำถิ่นของประเทศไทย จึงไม่มีประโยชน์ใด ๆ ที่จะขังไว้ในกรงเพื่อจับคู่ผสมพันธุ์แต่อย่างใด อีกทั้งหลังจากที่ผมได้ไปดูสถานที่ทำรังวางไข่จริง ๆ ของนกแร้งที่ประเทศมองโกเลียมาแล้ว พบว่าสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ไม่เหมาะสมกับการสืบพันธุ์ของนกแร้งดำหิมาลัยและนกแร้งสีน้ำตาลหิมาลัยด้วยประการทั้งปวง

ก่อนหน้านี้ผมก็ได้เดินทางไปดูสถานที่ปล่อยนกแร้งไว้หลายที่ ไม่ว่าจะเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี หรืออุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ และภูเขาสูง ( ดอย ) ต่าง ๆ อีกหลายแห่งทางภาคเหนือของประเทศไทย สุดท้ายผมเสนอคณะทำงาน ฯ ว่าควรจะเป็น “ ดอยลาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ” ด้วยเพราะเป็นภูเขาที่มีระดับความสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง มากกว่าสองพันเมตร , อยู่ติดชายแดนไทยพม่า ซึ่งมีการล่าสัตว์ค่อนข้างน้อย , ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งมีคนพลุกพล่านรบกวนนก , อยู่ไม่ห่างจากพรมแดนประเทศจีนเท่าใดนัก , สภาพภูมิอากาศเหมาะสมกับนกแร้งที่จะอาศัยอยู่ , เดินทางสะดวกและมีรายงานการพบนกแร้งสีน้ำตาลหิมาลัยในบริเวณนี้ มาเป็นระยะ ๆ ถึงแม้ความจริงแล้ว “ ดอยลาง “ ที่เหล่านักดูนกเรียกขานและรู้จักกันเป็นอย่างดีนั้น จะอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติผ้าห่มปก และเป็นเทือกเขาหนึ่งของดอยผ้าห่มปก ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกและชิดชายแดนไทย - พม่ามากกว่า สรุปทางคณะทำงาน“ โครงการฟื้นฟูแร้งดำหิมาลัยเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ “ จึงเบนเข็มมาเตรียมงานเพื่อส่งนกแร้งทั้ง ๕ ตัวกลับบ้านกันจริง ๆ เสียที หลังจากต่อสู้กับสิ่งที่เอาชนะไม่ได้มา ๔ เดือน

ด้วยการประสานงานของคุณคณิต คณีกุล สถาปนิกหนุ่มใหญ่ใจกว้างหรือที่รู้จักกันในนามปากกา “ สาวน้อยร้อยชั่ง แห่งบลูแพลเน็ต ” ได้ติดต่อลูกทัพฟ้า นาวาอากาศโทหญิง อรัญญาณี ซิมงาม ประชาสัมพันธ์แห่งกองทัพอากาศไทย ซึ่งได้รับความกรุณาโดย พลอากาศตรีศรีเชาวน์ จันทร์เรือง เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ เพื่อขอการสนับสนุนเครื่องบินลำเลียงพล C-130 นำนกแร้งทั้ง ๕ ตัว , คณะทำงาน ฯ , ช่างภาพและสื่อมวลชน รวมถึงผู้สนับสนุนต่าง ๆ ร่วมเดินทางพร้อมกัน ที่น่าปลื้มใจ ได้แก่ บริษัท การบินไทย จำกัด ( มหาชน ) มีน้ำใจออกบัตรโดยสารเพื่อนำคุณนิมบาย่า บัตบาย่า ( Nyambayar Batbayar ) นักปักษีวิทยาชาวมองโกเลีย ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาและการสืบพันธุ์ของนกแร้งดำหิมาลัย มาที่ประเทศไทยเพื่อติดวิทยุติดตามตัวนก ด้วยสัญญาณดาวเทียม (Satellite Transmitter) แก่เจ้าอนาคิน ส่วนอัศวินเจได ( เหล่านกแร้งสีน้ำตาลหิมาลัยทั้ง ๔ ตัว ) เจ้าหน้าที่จากส่วนวิจัยสัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการนำทีมของ คุณตวงรัตน์ โพธิ์เที่ยง นักวิทยาศาสตร์ ๘ ว. ได้มาใส่ห่างขา , วัดส่วนสัดร่างกาย ( ซึ่งละเอียดกว่าประกวดนางงาม ) และแถบติดปีก ( Wing Tag ) เป็นที่เรียบร้อยไปก่อนหน้านี้แล้ว

๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๐ เป็นวันเดินทางของนกแร้งทั้งห้า ผมมาถึงสนามบินกองทัพอากาศ ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า มีอาการเมาขี้ตาอยู่เล็กน้อย พร้อมด้วยรถบรรทุก ๖ ล้อของเขตห้ามล่าสัตว์ป่า บึงบอระเพ็ด ที่กรุณานำรถมาจากจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อมารับนกแร้ง , อาจารย์ ดร.พรชัย สัญฐิติเสรีและตัวผม โดยส่วนผมก็รู้สึกเป็นเกียรติและขอขอบพระคุณอย่างยิ่ง ที่กองทัพอากาศไทยได้ให้ความกรุณาในครั้งนี้ เพราะวัแรกที่นกแร้งสีน้ำตาลหิมาลัยทั้ง ๔ ตัว ซึ่งเดินทางมาจากจังหวัดพัทลุงและสุราษฎ์ธานี เข้ามาที่กรงฝึกบิน พบว่าความเครียดจากการเดินทางเป็นเวลานานและอาการเมารถ ทำให้นกแร้งไม่กินอาหาร , เกิดภาวะเครียดจนป่วย เช่น นั่งหมอบตลอดเวลา , อาเจียร , สำรอกอาหาร , เดินวนหรือมีอาการลำตัวกระตุกบ้างในบางครั้ง ซึ่งน่าจะไม่เกิดขึ้นในการเดินทางครั้งนี้ เพราะเราใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์จากสนามบิน ไปถึงจุดปล่อยนกแร้งเพียงสามชั่วโมงเท่านั้น

ในคืนนั้น ผมอาสากางเต๊นท์นอนอยู่บนดอยลาง เพื่อเฝ้าดูอาการนกแร้งทั้งห้า โดยเลือกฐานปฏิบัติการฟ้าห่มปกเป็นที่พัก ซึ่งอุ่นใจเพราะได้รับการดูแลจากเหล่าคุณทหารพราน กองกำลังผาเมือง กองทัพบก ประจำการดูแลกองกำลังต่าง ๆ ตามแนวตะเข็บชายแดนไทย- พม่า อย่างเข้มแข็งและแข็งขัน ผมต้องการให้นกแร้งปรับตัวกับสถานที่ , สภาพภูมิอากาศบนภูเขาสูง , ดื่มน้ำ , กินอาหารและรอมวลอากาศร้อนในวันรุ่งขึ้นเพื่อบินร่อนกลับบ้าน แถมเราจับเจ้าอนาคินติดแถบติดปีก ( Wing Tag ) และติดวิทยุติดตามตัวนก ด้วยสัญญาณดาวเทียม (Satellite Transmitter) อีกด้วย โดยคุณนิมบาย่า บัตบาย่า ( ซึ่งมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ) , อาจารย์ไชยยันต์และเจ้าหน้าที่กรมอุทยาน ฯ พร้อมเปิดเครื่องให้ดาวเทียมในตำแหน่งที่ใกล้ที่สุดทราบพิกัด ด้วยคณะของพวกเราอาจโชคดีหรือโชคร้ายอย่างมากมิทราบได้ พอดีในช่วงสัปดห์นั้น พายุดีเพรสชั่นกำลังแรงพัดเข้าประเทศพม่าฝั่งตะวันตก ( อ่าวเบงกอล ) ท้องฟ้าจึงปิดไปด้วยเมฆฝนและหมอกหนาแน่น แถมลมแรงและยังมีฝนพรำลงมาถึงตกหนักป็นระยะ ๆ ตลอดคืนนั้นผมนอนไม่ค่อยหลับ เพราะเป็นห่วงนกแร้งทั้ง ๕ ว่าจะตื่นตกใจกับพายุฝนขนาดไหน แต่ก็โล่งใจเมื่อตอนเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น ฝนหยุดตกและลมสงบลง

เมื่อผมตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ขวัญกำลังใจและสุขภาพนกแร้งยังดีอยู่ ( สงสัยรู้ตัวว่าจะได้กลับบ้าน ) ขบวนรถของคณะผู้ร่วมปล่อยนกแร้งและกองทัพสื่อมวลชน ก็ขึ้นมาถึงหน่วยฟ้าห่มปกประมาณ ๗ โมงเช้า เพื่อซักซ้อมความเข้าใจถึงขั้นตอนการปล่อยนกแร้ง ซึ่งต้องเงียบและห้ามมุงดูหรือถ่ายภาพกันอย่างใกล้ชิดเช่นเคย ด้วยเกรงว่านกจะเครียดจนอาเจียร หรือบินหนีตะเลิดไปคนละทิศทาง เพราะผมและอาจารย์ไชยยันต์ได้วางแผนกันมาแล้วว่า จะให้เจ้าอนาคินอาศัยอยู่ร่วมฝูงเดียวกันกับอัศวินเจไดทั้งสี่ เพื่อร่วมกันหาอาหารและพากันอพยพขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ จะช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตได้มากกว่าเดินทางคนเดียว ดังสุภาษิต คนเดียวหัวหาย...สองคนเพื่อนตาย...สามคน ( ขึ้นไป ) กลับบ้านได้...ว่างั้นไป...

ประมาณ ๙ โมงเช้า ของวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๐ คณะพวกเราทั้งหมดกว่า ๕๐ ชีวิต ก็มารวมตัวกันอยู่ที่จุดปล่อยนกแร้ง ซึ่งห่างจากฐานปฎิบัติการฟ้าห่มปกทางทิศใต้ประมาณ ๖ กิโลเมตร เป็นหน้าผาสูงชันประมาณ ๒,๒๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง หันหน้าไปทางทิศตะวันตกหรือประเทศพม่า และพวกเราทั้งหมดได้พบกับฝูงนกเหยี่ยวผึ้ง ๕ ตัว กำลังอพยพกลับบ้านโดยใช้มวลอากาศร้อนในบริเวณนั้น ทุกคนหวังว่านกแร้งของพวกเราจะทำเช่นนี้บ้าง เพราะปกติแล้วประมาณ ๙ โมงถึง ๑๑ โมงเช้าของทุกวัน หุบเขาเบื้องล่างจะสร้างมวลอากาศร้อนหรือลมร้อนกำลังแรงพัดขึ้นมาเสมอ ซึ่งนกแร้งจะอาศัยกระแสลมนี้ พยุงตัวขึ้นฟ้าได้โดยง่าย แต่ในวันนั้นอากาศเย็นมาก , หมอกลงหนาและท้องฟ้าก็ปิดอีกด้วย จึงเป็นที่มาของเสียงภาวนาจากหลายท่านลอยขึ้นไปตามลม ถามถึงความช่วยเหลือจากท้องฟ้า ส่วนตัวผมนั้น ได้ขอให้ท่านพระพิรุณช่วย เพราะท่านเป็นเทพอันดับหนึ่งในใจของชาวเกษตรศาสตร์ทุกคนเสมอมา เกี่ยวข้องกับฤดูฝนและการเกษตรกรรมของประเทศไทยโดยตรง ผมได้แต่หวังว่าคำขอจะเป็นผลสำเร็จ....

ฉับพลันนั้น...ฟ้าแง้มเปิดเป็นช่วงสั้น ๆ เริ่มมีลมพัดขึ้นมาจากหุบเขา แร้งทั้งหมดถูกปล่อยออกจากกรง ต่างพากันกระโดดออกมากางปีกเพื่อตากขนให้แห้ง เตรียมพร้อมจะเหินฟ้า อีกทั้งแร้งจะต้องทราบทิศทาง , ความแรงลม , กระแสลม , ความชื้น , ความสูง ฯลฯ คล้ายกับนักบินที่เตรียมนำเครื่องบินขึ้น ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามสัญชาติญาณ ผมเห็นว่าแร้งทุกตัวดูตื่นเต้นไม่น้อยที่พบกับความอิสระและจบสิ้นกันที กับลูกกรงที่อยู่เหนือหัวมาตลอด ๔ เดือน หลังจากใช้เวลาประมาณ ๔๐ นาทีเพื่อตากขนให้แห้ง และมีแดดออกเป็นระยะ ๆ

เจ้านกแร้งสีน้ำตาลหิมาลัย ๓ ตัว ก็ทะยานออกสู่อ้อมอกของธรรมชาติเป็นชุดแรก และใช้เวลาบินวนไต่ระดับความสูงเพียงไม่นานนัก เหลือเพียงเจ้าอนาคินและอัศวินเจไดอีกตัวเท่านั้น ยืนสบตามองหน้ากันไปมา ไม่มีทีท่าว่าจะโผบินตามเพื่อน ๆ ออกไปแต่อย่างใด ระหว่างนั้น...ผมอาศัยช่วงที่ทุกคนลุ้นอยู่แต่กับเจ้าอนาคิน เดินไปไล่เจ้าเจไดให้ตกหน้าผาไป พบว่าโผบินไปได้เองสบาย ๆ แต่ไปเกาะต้นไม้ใหญ่ริมผาเพื่อทำใจ ส่วนอาจารย์ไชยยันต์ก็จับเจ้าอนาคินโยนหน้าผาไปติด ๆ นกก็สามารถบินไปได้เองเช่นกัน ในใจของผมทราบว่านกทุกตัวพร้อมจะบินอยู่แล้ว เพียงแต่ใจไม่กล้าพอเท่านั้นต้องอาศัยนกผู้นำ หรือแรงผลักดันทางธรรมชาติ เช่น ความหิวหรือหนีผู้ล่า เป็นต้น แต่ที่ผ่านมา...นกแร้งไม่เคยต้องหาอาหาร เพราะมีให้กินเหลือเฟือ อีกทั้งไม่มีผู้ล่ามารบกวนด้วย จึงต้องทวทวนสัญชาตญาณป่ากันเล็กน้อย

ถือเป็นภาพความประทับใจ...ผมเห็นหลายคนยกมือไหว้ แสดงความขอบคุณเทพยดาฟ้าดินที่มาโปรด , หลายคู่กอดกันยินดี , กระโดดดีใจ , ไหว้และจับมือแสดงความขอบคุณในความรุณาที่ผ่านมา , ชูมือขึ้นอย่างสะใจ , มีรอยยิ้มเกิดขึ้นทุกใบหน้าและอื่น ๆ อีกมาก ส่วนตัวผมได้แต่ยิ้มและกางแขนออกกว้าง กอดธรรมชาติที่รับเจ้านกแร้งทั้งห้าที่พวกเราดูแลมาอย่างดี กลับไปอยู่ในความดูแลของท่าน และหวังเล็ก ๆ ว่าจะได้กลับมาปล่อยนกแร้งที่นี่อีกในปีต่อ ๆ ไป
ดั่งเวลาย้อนหมุนกลับ สภาพอากาศปิดอีกครั้ง หมอกกลับมาปกคลุมหนากว่าเดิม , อุณหภูมิลดต่ำลงและมีฝนตกลงมาพรำ ๆ จนทุกคนต้องกางร่มหรือหาที่หลบฝน ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มกันอย่างสนุกสนาน หลายคนกล่าวว่าเหมือนเรื่องเหนือธรรมชาติ ทำไม ? ท้องฟ้าเปิดแค่ช่วงที่เราปล่อยนกแร้งเพียงชั่วโมงกว่า ๆ เท่านั้น แต่ผมเข้าใจเพราะท่านพระพิรุณไม่เคยทอดทิ้งลูกเกษตรศาสตร์เลยสักครั้ง คำขอของพวกเรามักประสบความสำเร็จเสมอ

ถ้านับตั้งแต่วันที่ ๓ มกราคม – ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ก็เป็นเวลากว่า ๔ เดือน คำว่า “ เรา ” ดูใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ จากเริ่มแรกเพียงอาจารย์ไชยยันต์และผม ร่วมกันทำงานเท่านั้น บัดนี้กลายเป็นกิจกรรมมหาชนไปแล้ว ซึ่งทุกคนและทุกองค์กร ไม่ต้องการให้นกในธรรมชาติต้องอยู่ในกรงไปชั่วชีวิต และได้สานใจกันร่วมทำกุศลประโยชน์ในครั้งนี้ ซึ่งมันไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลย ถ้าขาดองค์ประกอบใด ๆ ไป ผมหวังว่าเจ้าอนาคินและอัศวินเจไดทั้งสี่ จะมีชีวิตอยู่ต่อไปจนตราบสิ้นอายุขัยตามธรรมชาติ และเราจะติดตามสัญญาณดาวเทียมของเจ้าไปตลอดสามปี...

สุดท้ายนี้ คำขอบคุณล้านครั้งจากผม คงเทียบไม่ได้กับน้ำใจที่คนไทยทุกท่าน มอบให้กับนกแร้งทั้ง ๕ .....สวัสดีครับ

6 comments:

Anonymous said...

อ่านแล้วรู้สึก "ซึ้งใจจัง" ลุ้นจนอยากจะร้องไห้กับตอนระหว่างปล่อยเจ้านกแร้งทั้ง 5 <<< ป่านนี้พวกเจ้าคงถึงบ้านกันแล้วละจิ

ตอนนี้คงมิใช่ตอบจบใช่ป่าวค่ะ ...คุณหมอเกษตร <<< จะติดตามตอนต่อไปนะคะ

Anonymous said...

'WoW' Awesome!

Anonymous said...

สุดยอด !!!
จิงๆคับ
.
.
.
.
.
.
.
ข้าน้อยขอคาราว่ะ

Anonymous said...

IX WWW.KOMCHADLUEK.NET

แร้งดำหิมาลัยถูกยิงในรัฐฉาน-ถูกยึดอุปกรณ์ติดตาม

คนไทยส่ง"อนาคิน" แร้งดำหิมาลัยพันธุ์หายากของโลกกลับไม่ถึงบ้านเกิด พบถูกยิงตายที่รัฐฉาน ประเทศพม่า พร้อมยึดอุปกรณ์ติดตามผ่านดาวเทียม สมาคมอนุรักษ์นกฯ ขออุปกรณ์สื่อสารคืนถูกปฏิเสธ จนท.รัฐฉานอ้างปัญหาการเมืองในพม่ายังไม่สงบ

หลังจากที่ชาวบ้านพบลูกแร้งดำหิมาลัยอายุ1 ปี ซึ่งเป็นสายพันธุ์หายากเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ พลัดหลงมาตกในพื้นที่ อ.สอยดาว จ.จันทบุรี จึงส่งไปพักฟื้นที่โรงพยาบาลสัตว์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) บางเขน กรุงเทพฯ พร้อมตั้งชื่อว่า "อนาคิน" แล้วนำไปฝึกบินที่ มก. วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม ร่วมกับแร้งน้ำตาลหิมาลัยอีก 4 ตัว ซึ่งบินตกในเขตประเทศไทยในเวลาไล่เลี่ยกัน กระทั่งแร้งทั้ง 5 ตัวสุขภาพแข็งแรง ทางสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย จึงติดอุปกรณ์ติดตามผ่านดาวเทียมแล้วนำไปปล่อยที่ชายแดนไทย-พม่า บริเวณดอยผ้าห่มปก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เพื่อให้พวกมันบินกลับถิ่นที่อยู่ในประเทศจีนและทิเบต เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2550 ล่าสุด ได้รับการยืนยันจาก ผศ.น.สพ.ดร.ไชยยันต์ เกษรดอกบัว หัวหน้าโครงการฟื้นฟูสุขภาพแร้งดำหิมาลัยเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ว่า "อนาคิน" โดนยิงตายที่รัฐฉานประเทศพม่าแล้ว


ผศ.น.สพ.ดร.ไชยยันต์กล่าวว่า หลังจากทีมงานปล่อยอนาคินแร้งดำหิมาลัยซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่หายากมากในโลกนี้ พร้อมกับแร้งดำสีน้ำตาลอีก 4 ตัว ปรากฏว่า มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 5 เดือน เนื่องจากสัญญาณติดต่อจากอนาคินขาดหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ขณะที่แร้งอีก 4 ตัว ส่งสัญญาณกลับมายังประเทศไทยตามปกติ ซึ่งทางทีมงานพยายามค้นหาสาเหตุ แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า กระทั่งกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา ทางสมาคมอนุรักษ์นกฯ ได้รับอีเมลฉบับหนึ่งจากเจ้าหน้าที่ของรัฐฉานประเทศพม่า เขียนมาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับแร้งดำหิมาลัย กระทั่งแน่ใจว่ามันถูกปล่อยมาจากสมาคมอนุรักษ์นกฯ เพื่อศึกษาเส้นทางบินของนกชนิดนี้เพื่อการอนุรักษ์ จึงส่งอีเมลฉบับล่าสุดแจ้งข้อเท็จจริงให้ทราบว่า อนาคินถูกชาวบ้านในพื้นที่รัฐฉานยิงเสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พร้อมส่งภาพอุปกรณ์สื่อสารผ่านดาวเทียมที่ติดให้อนาคินมายืนยันด้วย


"เจ้าหน้าที่ของรัฐฉานยืนยันชัดเจนว่า อนาคินถูกยิงตายแล้วด้วยฝีมือชาวบ้าน ซึ่งเกิดความสงสัยเมื่อเห็นมันบินผ่าน เพราะที่ปีกของอนาคินมีแถบสีเหลืองติดอยู่ และกล่องอุปกรณ์สื่อสารสีดำติดอยู่ที่ขาด้วย จึงทำให้สะดุดตาและแตกต่างไปจากนกทั่วไป เมื่อยิงแล้วจึงนำไปมอบให้เจ้าหน้าที่รัฐฉานตรวจสอบ ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวสลักอีเมลของสมาคมอนุรักษ์นกฯ ติดไว้ด้วย ทางรัฐฉานจึงติดต่อกลับมาแจ้งข่าว ขณะนี้เราพยายามขออุปกรณ์สื่อสารผ่านดาวเทียมกลับคืนมายังประเทศไทย แต่ยังไม่สามารถขอคืนได้ เนื่องจากติดปัญหาสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศพม่า" ผศ.น.สพ.ดร.ไชยยันต์ กล่าว


หัวหน้าโครงการฟื้นฟูสุขภาพแร้งดำหิมาลัยฯกล่าวอีกว่า การติดตั้งอุปกรณ์ติดตามผ่านดาวเทียม เพื่อเป็นการศึกษาถึงเส้นทางอพยพของนกหลายชนิดที่มักจะพลัดหลงเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งเป็นแนวทางช่วยเหลือนกที่บาดเจ็บและอ่อนเพลีย อย่างไรก็ตาม แม้การดำเนินการในกรณีแร้งดำหิมาลัยจะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ทางสมาคมอนุรักษ์นกฯ ได้ตั้งกองทุนฟื้นฟูนกเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ (Wild Bird Rehabilitation & Release Fund) เพื่อให้การสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์ฟื้นฟูนกล่าเหยื่อ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการฟื้นฟูนกล่าเหยื่อและนกอพยพ ให้มีสภาพพร้อมสามารถกลับไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองในธรรมชาติ ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการพยุงประชากรนกล่าเหยื่อที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์


ผศ.น.สพ.ดร.ไชยยันต์กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่นกต้องบินผ่านประเทศพม่าซึ่งพื้นที่บางส่วนเป็นรัฐอิสระ ทำให้ยากต่อการควบคุมอันตราย อย่างเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอนาคินในครั้งนี้ คงเป็นเรื่องที่หาทางออกได้ลำบาก อีกทั้งบริเวณดังกล่าวเป็นเส้นทางบินของนกอพยพมาจากเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งนกบินออกนอกเส้นทางคงไปไม่ถึงถิ่นที่อยู่ แต่ถ้ามันบินข้ามเขตเข้าไปยังประเทศจีนได้แล้ว ความปลอดภัยก็สูงขึ้น เนื่องจากสมาคมอนุรักษ์นกฯ มีข้อตกลงร่วมกับจีนในเรื่องการอนุรักษ์นกธรรมชาติ

Anonymous said...

WWW.KOMCHADLUEK.NET

แร้งดำหิมาลัยถูกยิงในรัฐฉาน-ถูกยึดอุปกรณ์ติดตาม

คนไทยส่ง"อนาคิน" แร้งดำหิมาลัยพันธุ์หายากของโลกกลับไม่ถึงบ้านเกิด พบถูกยิงตายที่รัฐฉาน ประเทศพม่า พร้อมยึดอุปกรณ์ติดตามผ่านดาวเทียม สมาคมอนุรักษ์นกฯ ขออุปกรณ์สื่อสารคืนถูกปฏิเสธ จนท.รัฐฉานอ้างปัญหาการเมืองในพม่ายังไม่สงบ

หลังจากที่ชาวบ้านพบลูกแร้งดำหิมาลัยอายุ1 ปี ซึ่งเป็นสายพันธุ์หายากเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ พลัดหลงมาตกในพื้นที่ อ.สอยดาว จ.จันทบุรี จึงส่งไปพักฟื้นที่โรงพยาบาลสัตว์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) บางเขน กรุงเทพฯ พร้อมตั้งชื่อว่า "อนาคิน" แล้วนำไปฝึกบินที่ มก. วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม ร่วมกับแร้งน้ำตาลหิมาลัยอีก 4 ตัว ซึ่งบินตกในเขตประเทศไทยในเวลาไล่เลี่ยกัน กระทั่งแร้งทั้ง 5 ตัวสุขภาพแข็งแรง ทางสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย จึงติดอุปกรณ์ติดตามผ่านดาวเทียมแล้วนำไปปล่อยที่ชายแดนไทย-พม่า บริเวณดอยผ้าห่มปก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เพื่อให้พวกมันบินกลับถิ่นที่อยู่ในประเทศจีนและทิเบต เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2550 ล่าสุด ได้รับการยืนยันจาก ผศ.น.สพ.ดร.ไชยยันต์ เกษรดอกบัว หัวหน้าโครงการฟื้นฟูสุขภาพแร้งดำหิมาลัยเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ว่า "อนาคิน" โดนยิงตายที่รัฐฉานประเทศพม่าแล้ว


ผศ.น.สพ.ดร.ไชยยันต์กล่าวว่า หลังจากทีมงานปล่อยอนาคินแร้งดำหิมาลัยซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่หายากมากในโลกนี้ พร้อมกับแร้งดำสีน้ำตาลอีก 4 ตัว ปรากฏว่า มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 5 เดือน เนื่องจากสัญญาณติดต่อจากอนาคินขาดหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ขณะที่แร้งอีก 4 ตัว ส่งสัญญาณกลับมายังประเทศไทยตามปกติ ซึ่งทางทีมงานพยายามค้นหาสาเหตุ แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า กระทั่งกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา ทางสมาคมอนุรักษ์นกฯ ได้รับอีเมลฉบับหนึ่งจากเจ้าหน้าที่ของรัฐฉานประเทศพม่า เขียนมาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับแร้งดำหิมาลัย กระทั่งแน่ใจว่ามันถูกปล่อยมาจากสมาคมอนุรักษ์นกฯ เพื่อศึกษาเส้นทางบินของนกชนิดนี้เพื่อการอนุรักษ์ จึงส่งอีเมลฉบับล่าสุดแจ้งข้อเท็จจริงให้ทราบว่า อนาคินถูกชาวบ้านในพื้นที่รัฐฉานยิงเสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พร้อมส่งภาพอุปกรณ์สื่อสารผ่านดาวเทียมที่ติดให้อนาคินมายืนยันด้วย


"เจ้าหน้าที่ของรัฐฉานยืนยันชัดเจนว่า อนาคินถูกยิงตายแล้วด้วยฝีมือชาวบ้าน ซึ่งเกิดความสงสัยเมื่อเห็นมันบินผ่าน เพราะที่ปีกของอนาคินมีแถบสีเหลืองติดอยู่ และกล่องอุปกรณ์สื่อสารสีดำติดอยู่ที่ขาด้วย จึงทำให้สะดุดตาและแตกต่างไปจากนกทั่วไป เมื่อยิงแล้วจึงนำไปมอบให้เจ้าหน้าที่รัฐฉานตรวจสอบ ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวสลักอีเมลของสมาคมอนุรักษ์นกฯ ติดไว้ด้วย ทางรัฐฉานจึงติดต่อกลับมาแจ้งข่าว ขณะนี้เราพยายามขออุปกรณ์สื่อสารผ่านดาวเทียมกลับคืนมายังประเทศไทย แต่ยังไม่สามารถขอคืนได้ เนื่องจากติดปัญหาสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศพม่า" ผศ.น.สพ.ดร.ไชยยันต์ กล่าว


หัวหน้าโครงการฟื้นฟูสุขภาพแร้งดำหิมาลัยฯกล่าวอีกว่า การติดตั้งอุปกรณ์ติดตามผ่านดาวเทียม เพื่อเป็นการศึกษาถึงเส้นทางอพยพของนกหลายชนิดที่มักจะพลัดหลงเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งเป็นแนวทางช่วยเหลือนกที่บาดเจ็บและอ่อนเพลีย อย่างไรก็ตาม แม้การดำเนินการในกรณีแร้งดำหิมาลัยจะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ทางสมาคมอนุรักษ์นกฯ ได้ตั้งกองทุนฟื้นฟูนกเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ (Wild Bird Rehabilitation & Release Fund) เพื่อให้การสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์ฟื้นฟูนกล่าเหยื่อ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการฟื้นฟูนกล่าเหยื่อและนกอพยพ ให้มีสภาพพร้อมสามารถกลับไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองในธรรมชาติ ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการพยุงประชากรนกล่าเหยื่อที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์


ผศ.น.สพ.ดร.ไชยยันต์กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่นกต้องบินผ่านประเทศพม่าซึ่งพื้นที่บางส่วนเป็นรัฐอิสระ ทำให้ยากต่อการควบคุมอันตราย อย่างเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอนาคินในครั้งนี้ คงเป็นเรื่องที่หาทางออกได้ลำบาก อีกทั้งบริเวณดังกล่าวเป็นเส้นทางบินของนกอพยพมาจากเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งนกบินออกนอกเส้นทางคงไปไม่ถึงถิ่นที่อยู่ แต่ถ้ามันบินข้ามเขตเข้าไปยังประเทศจีนได้แล้ว ความปลอดภัยก็สูงขึ้น เนื่องจากสมาคมอนุรักษ์นกฯ มีข้อตกลงร่วมกับจีนในเรื่องการอนุรักษ์นกธรรมชาติ

Anonymous said...

สิ่งที่คุณหมอทำคือสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ
ไม่ว่าคนหรือสัตว์ก็ต้องชื่นชมและเป็นกำลังใจ
ให้คุณหมออยู่แล้ว

ทำความดีสักครั้งมันไม่ยากอย่างที่คุณหมอ
ตัดพ้อเลย เพราะสิ่งที่คุณหมอทำตลอดและทำมาจน
ประสบผลสำเร็จ มันแสดงให้เห็นแล้ว ว่า
"คุณหมอเป็นคนดี และทำได้ดีที่สุดเสมอ"

นกในโลกนี้โชคดีที่มีคนแบบคุณหมอนะ

ขอให้คุณหมอทำดีที่สุดต่อไป

ลูกพระพิรุณจะยังไงก็คือคนที่มีค่าเสมอ